วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

เพลงช้า-เพลงเร็ว


เพลงช้า-เพลงเร็ว



    ประวัติเพลงช้า-เพลงเร็ว
     คำว่า “รำเพลงช้า-เพลงเร็ว” บางครั้งก็เรียกสั้น ๆ “รำเพลง” ซึ่งหมายถึงรำเพลงช้า-เพลงเร็วนั้นเอง เนื่องจากเรียกตามชื่อเพลงในทางปี่พาทย์ สมเด็จพระเจ้าบรมเธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวถึงท่ารำ “เพลงรำ” ไว้ในตำนานละครอิเหนาว่า
     “การฟ้อนรำเป็นหลักของวิชาละคร(รำ) เพราะฉะนั้นผู้เป็นครูบาอาจารย์แต่ก่อนจึงคิดแบบรำเป็นท่าต่าง ๆ ตั้งชื่อบัญญัติไว้ให้เรียกเป็นตำรา แล้วคิดร้อยกรองท่ารำต่าง ๆ นั้นเข้าเป็นกระบวนสำหรับท่ารำ เข้ากับเพลงปี่พาทย์เรียกว่า “เพลงรำ”  อย่างหนึ่ง อีกอย่างเข้ากับบทร้องเรียกว่า “รำใช้บท” บรรดาผู้ที่ฝึกหัดเป็นละคร ฝึกหัดตั้งแต่ยังเด็ก ครูให้หัดรำเพลงก่อนแล้วจึงรำใช้บท เมื่อรำได้แล้วครูจึง “ครอบ” ให้  คืออนุญาตให้เล่นละคร แต่นั้นไปจึงนับว่าเป็นละคร
     แม่ท่าเพลงช้า-เพลงเร็ว มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และได้จดจำสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ เพลงช้า-เพลงเร็ว เป็นเพลงประเภทหน้าพาทย์ จัดอยู่ในประเภทเพลงหน้าพาทย์อัญเชิญครูโขน ละคร พระ นาง มาร่วมในพิธีให้ลูกศิษย์ได้คารวะในวันไหว้ครู เมื่อนำมาใช้สำหรับหลักสูตรบทเรียนนาฏศิลป์ จัดอยู่ในประเภทเพลงฝึกหัดการรำนาฏศิลป์เบื้องต้น โดยเฉพาะผู้ฝึกหัดได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวพระ-นาง ต้องผ่านการฝึกหัดเบื้องต้นการรำเพลงช้า-เพลงเร็วก่อน ถ้าต้องการฝึกเพื่อเป็นศิลปินหรือครูผู้สอนนาฏศิลป์ ซึ่งทำหน้าที่ผลิตศิลปิน จำเป็นต้องฝึกในรูปแบบเพลงช้า-เพลงเร็วอย่างเต็ม ท่ารำในเพลงช้า-เพลงเร็ว เป็นการนำเอาแม่ท่ามาเรียงลำดับโดยมีลีลาเชื่อมท่ารำต่อเนื่องกันไป ถือว่าเป็นเพลงบูชาครู ดังนั้น ก่อนที่เรียนรำเพลงอื่นๆ ผู้เรียนควรจะต้องรำเพลงช้าเพลงเร็วก่อนทุกครั้ง ผู้เรียนรำจะต้องฝึกหัดรำเพลงบูชาครูให้คล่องแคล่วแม่นยำ เพื่อเป็นพื้นฐานในการเรียนเพลงอื่นๆ ต่อไป
เพลงช้าเพลงเร็วเป็นเพลงหน้าพาทย์ ที่ใช้เป็นหลักสูตรเบื้องต้นสำหรับนักเรียนศิลปินฝึกหัด นาฏศิลป์ไทย มีท่ารำที่ครูอาจารย์ตามนาฏศิลป์ของไทย บัญญัติขึ้นไว้เป็นแบบฉบับมาแต่โบราณ ท่ารำประจำเพลงช้า – เร็ว เหล่านี้ อย่างน้อยก็มีสืบทอดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กุลบุตร กุลธิดา ที่จะฝึกหัดนาฏศิลป์ไทย จะต้องหัดรำทำท่าตามเพลงช้า เพลงเร็วให้คล่องแคล่วแม่นยำเสียก่อน ซึ่งต้องใช้เวลาฝึกหัดกันแรมปี ท่ารำในเพลงช้าเพลงเร็ว ย่อมเสมอเป็นแม่ท่าหรือพื้นฐานภาษาของละครไทยทั่วไปมักนิยมกันว่าศิลปินที่ฝึกหัดท่ารำเพลงช้าเพลงเร็วมาดีแล้ว ย่อมเป็นผู้มีกิริยามารยาทแช่มช้อยงดงามในสังคมไทยอีกด้วย ท่ารำในแม่บทก็ดี ท่าที่ครูอาจารย์ทางนาฏศิลป์เลือดคัดจัดทำให้รำ “ทำบท” ตามคำร้อง หรือทำท่าบทให้ตามท้องเรื่องของละครไทยก็ดีโดยมากก็เลือกคัดจัดท่ามาจาก ท่าที่ เป็นแบบฉบับในการรำ เพลงช้า เพลงเร็วเป็นหลักแม้บางคราวจะปรากฏว่าเคยมีผู้นำเอาแบบนาฏศิลป์ต่างชาติมาใช้ ในวงการนาฏศิลป์ไทยหลายอย่าง แต่ก็มักจะนำมาผสมกับท่ารำที่มีอยู่ในเพลงช้าเพลงเร็วเป็นส่วนมากเหมือนผู้เรียนรู้ภาษามาจากต่างประเทศ ซึ่งมักปรากฏว่าการแต่งตัวและการพูดจะติดสำนวนและภาษาเดิมของตน ด้วยเหตุนี้จึงมีความจริงอยู่ว่า ถ้านักเรียนศิลปินคนใด ฝึกหัดรำเพลงช้าเพลงเร็วได้ดีและสวยงามเป็นพื้นฐานมาแล้ว ก็ย่อมหมายความว่านักเรียนคนนั้นก็จะได้เป็นศิลปินทางการละครฟ้อนรำของไทยได้ดีในภายหน้าด้วย เพราะการรำเพลงช้าเพลงเร็วนี้ จัดได้ว่าเป็นพื้นฐานเบื้องต้นของการเรียนนาฏศิลป์ที่ถูกต้อง
     ต่อมาในรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้เกิดละครเอกชนหลายสำนัก การฝึกหัดรำแม่ท่าก็ได้แพร่หลายออกไปจากละครหลวง ทำให้ท่ารำแม่ท่าเพลงช้า-เพลงเร็ว แตกต่างกันไปบ้างในรูปแบบลีลาท่ารำตามความสามารถของผู้รับการฝึกหัด สำหรับท่ารำแม่ท่าเพลงช้า-เพลงเร็ว ที่ใช้ในหลักสูตรวิทยาลัยนาฏศิลปะนี้ ท่ารำของตัวพระเป็นแม่ท่าที่ได้รับถ่ายทอดมาจากพระยานัฏกานุรักษ์ ปรมาจารย์ของกรมมหรสพในรัชกาลที่ 6 โดยอาจารย์ลมุล ยมะคุปต์ เป็นผู้นำมาฝึกหัดนักเรียน ส่วนท่ารำของตัวนาง หม่อมต่วน (ศุภลักษณ์) ภัทรนาวิก ผู้ซึ่งเป็นนางตัวเอกของละครคณะวังบ้านหม้อ หรือละครคณะเจ้าพระยาเทเวศร์ วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว.หลาน  กุญชร) เป็นผู้นำมาฝึกถ่ายทอดให้แก่นักเรียน ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งโรงเรียนศิลปากร แผนกนาฏดุริยางค์ เมื่อปี พ.ศ.2477
     รำเพลงช้า - เพลงเร็ว หมายถึง การฝึกหัดรำเบื้องต้นในท่ารำแบบแผนของนาฏศิลป์ไทย ผ่านการปรับปรุงพัฒนาจนถือว่าเป็นท่ารำมาตรฐานที่ถูกต้องสวยงาม สามารถนำไปเป็นแบบอย่างแก่ท่ารำชุดต่างๆ เช่น ท่ารำของโขน ละคร ระบำ เป็นต้น เชื่อว่า การรำเพลงช้า-เพลงเร็ว น่าจะมีการฝึกหัดมาพร้อมกับการฝึกหัดนาฏศิลป์ในวัง เพราะการรำเพลงช้า-เพลงเร็ว เป็นการฝึกหัด อย่างมีระเบียบแบบแผนเช่นเดียวกับการฝึกหัดอื่นๆ ในราชสำนัก
     รำเพลงช้า - เพลงเร็ว เป็นเพลงสำหรับฝึกหัดท่ารำเบื้องต้นของตัวพระ ตัวนาง มีวงปี่พาทย์บรรเลงประกอบ ไม่มีบทร้อง ในการฝึกหัดขั้นแรก ผู้รำจะร้องปากเปล่าเลียนเสียงหน้าทับของเพลง คือ ร้องเพลงช้าว่า จะ โจ๊ง จะ ทิง โจ๊ง ทิง และร้องเพลงเร็วว่า ตุ๊บ ทิง ทิง เมื่อผู้ฝึกหัดคล่องดีแล้ว จึงจะให้รำเข้าวงปี่พาทย์โดยใช้ทำนองเพลงสร้อยสนในการบรรเลงเพลงช้าและใช้เพลงเร็ว (ตามชื่อเพลง) ในการบรรเลงเพลงเร็ว จบด้วยเพลงลา
     ในการรำเพลงช้า – เพลงเร็ว มีลำดับขั้นตอนตั้งแต่ท่าแรกถึงท่าสุดท้ายอย่างเป็นระบบ กล่าวคือ มีการเชื่อมท่ารำหนึ่งไปสู่อีกท่ารำหนึ่งอย่างสอดคล้องกลมกลืน แต่ขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยจารีตหรือวัฒนธรรมไทยลงไปในท่ารำด้วย เช่น ท่าแรกจะต้องเริ่มด้วยการไหว้ เพื่อรำลึกถึงครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ จากนั้นจึงจะออกท่ารำ จากท่าง่ายๆ ไปหาท่ายากๆ ที่มีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น


     เพลงช้า-เพลงเร็ว เป็นเพลงประเภทหน้าพาทย์ จัดอยู่ในหน้าพาทย์ไหว้ครูประเภทเพลงหน้าพาทย์อัญเชิญครูโขน ละคร พระ-นาง มาร่วมพิธีให้ลูกศิษย์ได้คารวะในวันไหว้ครู
     ปัจจุบันนี้ การเรียนการสอนเปลี่ยนไปตามกาลเวลาของการตั้งโรงเรียนนาฏศิลปะมาร่วม 80 ปีแล้ว สมัยที่ผ่านมาครูผู้สอนเป็นแม่แบบให้ศิษย์เลียนแบบ ปัจจุบันนอกจากครูผู้สอนเป็นแม่แบบแล้ว ยังต้องสามารถวิเคราะห์ท่ารำพร้อมทั้งชี้แนะให้นักเรียนเกิดความเข้าใจให้มากกว่าการจำจากแบบ ครูผู้สอนหรือผู้ฝึกหัดจะต้องฝึกหัดเพลงช้า-เพลงเร็ว ให้เกิดความซาบซึ้งในท่ารำ สามารถวิเคราะห์แยกท่า แยกความสำคัญของอวัยวะส่วนต่าง ๆ ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร  แต่การฝึกปัจจุบัน ผู้ฝึกถูกฝึกให้
เห็นความสำคัญกับเพลงช้า-เพลงเร็ว น้อยไปตามความรวดเร็วของยุค เพราะยุคนี้เป็นยุคโลกาภิวัตน์  ความประณีตงดงามไม่สำคัญเท่ากับความรวดเร็ว เป็นเหตุให้การเรียนการสอนบางแห่งมักจะฝึกหัดข้ามไปเรียนระบำเป็นชุด ๆ หรือไม่ก็ตัดทอนท่าให้เหลือน้อยลง เกือบจะเรียกว่ารำเพลงช้า-เพลงเร็วเป็นพิธี ตัดทอนท่าที่ให้ความสัมพันธ์ของการใช้อวัยวะหรือลีลาเชื่อมขาดทักษะสัมพันธ์กัน เป็นเหตุให้ผู้เรียนขาดความเข้าใจ ความซาบซึ้ง และความจำอันแน่นแฟ้นที่จะตามมา


ดนตรี-เพลงร้อง
     เพลงช้าเป็นชื่อเพลงหน้าพาทย์ ที่บรรเลงประกอบกิริยาอย่างนวยนาฏงดงามของละคร ส่วนเพลงเร็วประกอบกิริยาไปมาอย่างว่องไว โดยปกติเมื่อบรรเลงเพลงช้าแล้วต้องบรรเลงเพลงเร็วติดต่อกันไป แล้วบรรเลงเพลงลาในตอนจบ การบรรเลงเพลงช้าและเพลงเร็วปี่พาทย์จะเลือกการบรรเลงได้ตามพอใจเพราะมีเพลงประกอบประเภทเพลงช้าและเพลงเร็วอยู่มากมาย และเรียกชื่อไว้ต่าง ๆ กัน แต่ละเพลงอาจบรรเลงได้นาน ๆ เพลงจะมีลีลาของเพลงยาวโดยปกติและส่วนมากแล้ว เราจะใช้เพลงที่ใช้บรรเลงในการเริ่มฝึกเพลงช้า ประโยคของเพลงฟังง่ายกว่าเพลงช้าอื่น ๆ

-วงปี่พาทย์ไม้แข็ง


     วงปี่พาทย์ไม้แข็งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  “วงปี่พาทย์เครื่องหนัก”  วงปี่พาทย์จัดเป็นวง
ดนตรีที่ได้รับความนิยมแพร่หลายสูงสุดในกลุ่มวงปี่พาทย์ และเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าเป็นวงดนตรีที่มีความเป็นมาตรฐานที่สูงสุดอีกด้วย เครื่องดนตรีที่สังกัดในวงดนตรีประเภทนี้ทุกเครื่องจะมีเสียงดัง เนื่องจากบรรเลงด้วยไม้ตีชนิดแข็ง จึงเรียกชื่อวงดนตรีชนิดนี้ว่า ปี่พาทย์ไม้แข็ง ตามลักษณะของไม้ที่ใช้บรรเลง
     บรรเลง อรรถรสที่ได้จากการฟังดนตรีชนิดนี้จึงมีทั้งความหนักแน่น สง่าผ่าเผย คล่องแคล่ว และสนุกครึกครื้น  จึงสามารถบรรเลงได้ในโอกาสทั่วๆไป  เช่น  งานพระราชพิธี  งานบวชนาค  งานโกนจุก  เทศน์มหาชาติ  ประกอบการแสดง  โขน  ละคร  ลิเก  หนังใหญ่  เป็นต้น 

วงปี่พาทย์ไม้แข็งสามารถแบ่งตามขนาดของวง   ได้เป็น 3 ขนาด คือ
-วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องคู่  
     วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องคู่ พัฒนามาจากวงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องห้าโดยการจัดเครื่องดนตรีให้เป็นคู่กัน  จึงเรียกว่าวงปี่พาทย์เครื่องคู่ วงปี่พาทย์ชนิดนี้เกิดขึ้นในสมัยแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยมีการประดิษฐ์ระนาดทุ้มและฆ้องวงเล็กขึ้นเพื่อให้คู่กับระนาดเอก  
-วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องใหญ่   
     วงดนตรีประเภทนี้เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โดยเครื่องดนตรีประกอบด้วยเครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องคู่เป็นหลัก แต่มีการเพิ่มระนาดเอกเหล็กและระนาดทุ้มเหล็กขึ้นอีกอย่างละราง นับเป็นวงปี่พาทย์ไม้แข็งที่มีวิวัฒนาการสูงสุดในปัจจุบัน        
     วงปี่พาทย์ไม้แข็งนั้น ซึ่งปกติจะบรรเลงด้วยไม้ระนาดเอกที่ทำจากยางรัก มีความแข็ง เวลาตีแล้วจะทำให้เสียงดังมาก เพื่อสู้กับเสียงปี่ในที่มีความดังอยู่แล้ว ในบางครั้งที่ไม่ต้องการเสียงดังมาก อาจจะบรรเลงด้วยไม้นวมหรือการใช้ขลุ่ยเพียงออ มาแทนปี่ใน ทำให้เสียง          ปี่พาทย์มีความนุ่มนวลไพเราะ เรียกวงปี่พาทย์ชนิดนี้ว่า "วงปี่พาทย์ไม้นวม"
     วงปี่พาทย์ไม้นวม การจัดรูปแบบวงดนตรีนั้น ก็เหมือนกับวงปี่พาทย์ไม้แข็ง เพียงแต่นำขลุ่ย มาบรรเลงแทนปี่ใน และระนาดเอกบรรเลงด้วยไม้นวมแทนไม้แข็ง เพื่อซออู้เข้ามาอีก 1 คัน เพื่อเพิ่มความนุ่มนวลของเสียงโดยรวมที่ออกมา ในเครื่องกำกับหน้าทับ ถ้าบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ หรือประกอบการแสดง อาจจะใช้ตะโพน และกลองทัด อย่างเดิมก็ได้ หรืออาจจะบรรเลงเพลงเสภา เพลงเถา เพลงธรรมดา อาจจะเปลี่ยนไปใช้กลองแขก ก็ได้อย่างใดอย่างหนึ่ง เรื่องของการเปลี่ยนเครื่องกำกับหน้าทับนี้ ใช้เหมือนกันทั้งปี่พาทย์ไม้แข็ง และปี่พาทย์ไม้นวม เพราะปี่พาทย์ไม้แข็ง ก็อาจจะเปลี่ยนจากตะโพน และกลองทัด ไปเป็นกลองแขกก็ได้ ในกรณีที่บรรเลงเพลงธรรมดา
ด้วยความนุ่มนวลและไพเราะน่าฟัง จึงนิยมใช้วงปี่พาทย์ไม้นวมบรรเลงประกอบ  เพลงช้า-เพลงเร็วมากกว่า

-เครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ไม้นวม

            1. ขลุ่ยเพียงออ
            2. ระนาดเอก
            3. ระนาด ทุ้ม
            4. ฆ้องวงใหญ่
            5. ฆ้องวงเล็ก
            6. ตะโพน
            7. กลองทัด
            8. ฉิ่ง


อ้างอิง
http://ich.culture.go.th/index.php/th/ich/performing-arts/236-performance/71--m-s
https://www.gotoknow.org/posts/486849

q=%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%94&rlz=1C1CHBF_enTH850TH850&hl=th&sxsrf=ALeKk01xoK3aOFP3fyy9Dga9_fmPKNuzNA:1582792588103&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ved=2ahUKEwi67t3vqfHnAhVoH7cAHQaWDj0Q_AUoAnoECBAQBA&biw=2133&bih=1076#imgrc=PD_RA_PNy83UPM

ระบำดาวดึงส์


ระบำดาวดึงส์




ประวัติระบำดาวดึงส์

      ระบำดาวดึงส์ เป็นการแสดงมาตรฐานที่เป็นฉบับไทยอีกชุดหนึ่ง ซึ่งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยา
นริศรานุวัตติวงศ์ได้ทรงนิพนธ์บทร้องขี้ประกอบการแสดงในบทละครดึกดำบรรพ์ เรื่องสังข์ทอง
ตอนที่ ๒ ตอนตีคลี ฉากดาวดึงส์ ในฉากนี้มีพระอินทร์กับพระมเหสีประทับอยู่บนแท่น พระวิศนุกรรม
และพระมาตุลี นั่งอยู่ชั้นลดสองข้าง พวกคนธรรพ์ประจำเครื่องดนตรีอยู่ด้านหน้า เหล่าเทวดานางฟ้า
เข้านั่งเฝ้าสองข้าง เริ่มเปิดฉากเหล่าเทวดานางฟ้าก็จับระบำถวาย
     การแสดงเรื่องนี้จัดแสดงที่ดรงละครดึกดำบรรพ์ ริมถนนอัษฎางค์ (วังบ้านหม้อ) ปลายสมัยพระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เนื้อร้องของระบำพรรณนาถึงความ
งดงามความโอฬารของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และความมโหฬารตระการตาในทิพย์สมบัติของพระอินทร์
ตลอดจนความงดงามของเหล่าเทวดานางฟ้าในสรวงสวรรค์ หม่อมเข็ม กุญชร ณ อยุธยา
(หม่อมเจ้าในพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์) เป็นผู้ควบคุมฝึกหัดคิดท่ารำ
     ต่อมาการแสดงชุดนี้ได้นำมาจัดเป็นชุดเอกเทศ จึงนำออกด้วยเพลงเหาะ และรำตามเนื้อร้องในเพลง
ตะเขิ่ง, เจ้าเซ็น แล้วจบท้ายด้วยเพลงรัว นับเป็นระบำชุดหนึ่งที่ได้ปรับปรุงทางดนตรี และทางรำให้ได้
กะทัดรัด จนเป็นนาฏศิลป์ไทยชุดหนึ่งที่ได้ยึดถือเป็นแบบระบำแสดงความรื่นเริงบันเทิงใจ ซึ่งศิลปินได้
อนุรัก

รูปแบบ และลักษณะการแสดง

              เป็นการรำของเหล่าเทวดานางฟ้า ลักษณะท่ารำที่สำคัญ คือท่ารำจะไม่มีความหมายตรงกับเนื้อร้อง แต่จะเป็นท่ารำที่มีความสอดคล้องกลมกลืนกันตลอดทั้งเพลง ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือ ท่ารำบางท่าได้ปรับปรุงเลียนแบบท่าเต้นในพิธีแขกเจ้าเซ็น ได้แก่ การใช้ท่ารำยกมือขึ้นประสานไขว้กันไว้ที่อก และขยับฝ่ามือตบอกเบา ๆ ตามจังหวะพร้อมการเคลื่อนเท้าไปด้วย กล่าวกันมาว่าท่ารำแบบนี้ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี พระอนุชาของสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระบรมราชินีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ทรงประดิษฐ์ขึ้น เมื่อประมาณสองร้อยกว่าปีมาแล้ว โดยทรงเลียนแบบมาจากการเต้นทุบอกในพิธีเต้นเซ็นของชนนับถือลัทธิศาสนาอิสลาม นิกายเจ้าเซนวึ่งใรั่งเรียกว่า Shiites โดยทรงปรับท่าทางให้ดูนุ่มนวลอ่อนช้อยไปตามหลักนาฏศิลป์ไทย

การรำแบ่งเป็นขั้นตอนต่าง ๆ ได้ดังนี้

  • ขั้นตอนที่ ๑
รำออกในเพลงเหาะ (เป็นท่ารำที่แสดงการเดินทางเป็นรูปขบวนของเหล่าเทวดานางฟ้า กระบวนท่ารำเป็นมาตรฐานที่ใช้สืบต่อกันมา
  • ขั้นตอนที่ ๒
รำตามบทร้องในเพลงตะเขิ่ง (เนื้อร้องกล่าวถึงความงามทั่วสรรพางค์กายของเทวดานางฟ้า) เพลงเจ้าเซ็น (เนื้อร้องแสดงถึงความงดงามอลังการในวิมานที่ประทับของพระอินทร์) 
  • ขั้นตอนที่ ๓
รำเข้าตามทำนองเพลงรัว

 

ดนตรี และเพลงที่ใช้ประกอบการแสดง

ใช้วงปี่พาทย์ไม้นวม เพลงที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดง ได้แก่เพลงเหาะ เพลงรัว เพลงตะเขิ่ง
เพลงแขกเจ้าเซ็น และเพลงรัว

เครื่องแต่งกาย

ผู้แสดงแต่งกายยืนเครื่อง พระสวมเสื้อแขนสั้น ศิราภรณ์ชฎายอดชัย นางศิราภารณ์มงกุฏกษัตรีย์
บทร้องระบำดาวดึงส์


ดาวดึงส์เทวโลกมโหฬาร เป็นที่อยู่สำราญฤทัยหรรษ์
สารพัดงามจริงทุกสิ่งอัน สารพันอุดมสมใจปอง
เทพบุตรผุดพรรณโฉมยง งามทรงอาภรณ์ไม่มีหมอง
นางอัปสรงอนสงวนนวลละออง งามทรงเครื่องทองและเพชรนิล
สมเด็จพระอัมรินทร์ปิ่นมงกุฎ ทรงวชิราวุธธนูศิลป์
รักษาเทวสีมาเป็นอาจิณ อสุรินทร์อรีไม่บีฑา (ซ้ำ)
อันอินทรปราสาททั้งสาม (ซ้ำ) ทรงงามสูงเงื้อมกลางเวหา
สี่มุขหุ้มมาศสะอาดตา ใบระกาแกมแก้วประกอบกัน
ช่อฟ้าช้อยเฟื้อยเฉื่อยชด (ซ้ำ) บราลีที่ลดมุขกระสัน (ซ้ำ)
มุขเด็ดทองคาดกนกพัน บุษบกสุวรรณชามพูนุท (ซ้ำ)
ราชยานเวชยันตร์รถแก้ว (ซ้ำ) เพริศแพร้วกำกงอลงกต (ซ้ำ)
แอกงอนอ่อนสลวยชวยชด (ซ้ำ) เครือขดช่อตั้งบัลลังก์ลอย
รายรูปสิงห์อัดหยัดยัน สุบรรณจับนาคหิ้วเศียรห้อย (ซ้ำ)
ดุมพราววาววับประดับพลอย แปรกแก้วกาบช้อยสะบัดบัง
เทียมด้วยสิงธพเทพบุตร ทั้งสี่บริสุทธิ์ดั่งสีสังข์
มาตลีอาจขี่ขับประดัง ให้รีบรุดสุดกำลังดังลมพา






อ้างอิง
http://saowalak27113.blogspot.com/p/blog-page_13.html
http://www.finearts.go.th/performing/parameters/km/item/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B9%8C.html
https://www.youtube.com/watch?v=gacK2cbuT6o

ระบำดอกบัว


ระบำดอกบัว


ประวัติระบำดอกบัว

     ระบำดอกบัว เป็นการแสดงชุดหนึ่งจากละครเรื่อง รถเสน” ตอนหมู่นางรำ แสดงถวายท้าววรถสิทธิ์
ซึ่งกรมศิลปากรได้ปรับปรุงขึ้น แสดงให้ประชาชนชมเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐
ผู้ประพันธ์บทร้องคือ อาจารย์มนตรี ตราโมท ใช้ทำนองเพลงสร้อยโอ้ลาวของเก่า เป็นการแสดงหมู่

การแต่งกายระบำดอกบั

นุ่งจีบหน้านางห่มสไบเฉียง ใส่เครื่องประดับ


    


นุ่งจีบหน้านางห่มสไบเฉียงสองชาย ใส่เครื่องประดับ



ครื่อดนตรี

เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง ใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้าไม้นวม หรือไม้แข็งก็ได้วงปี่พาทย์ไม้
นวม กำเนิดของวงนี้มาจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบของวงปี่พาทย์ไม้แข็ง กล่าวคือ 
เปลี่ยนหัวไม้ที่ใช้สำหรับการบรรเลงระนาดเอกฆ้องวงใหญ่และฆ้องวงเล็ก จากที่เป็นหัวไม้แข็ง
ก็มาใช้ไม้นวม (ใช้พันผ้าแล้วถักด้วยเส้นด้ายสลักจนนุ่ม) แทนทำให้ลดความดังและความเกรี้ยว
กราดของเสียงลง เครื่องเป่าแต่เดิมที่ใช้ปี่ใน ซึ่งมีเสียงดังมากจึงเปลี่ยนมาใช้ขลุ่ยเพียงออ ซึ่งมี
เสียงเบากว่าแทน และยังเพิ่มซออู้เข้าไปอีก 1 คัน ทำให้วงมีเสียงนุ่มนวลและกลมกล่อมมากขึ้น
กว่าเดิม



             
                                   
             
             



เนื้อเพลงระบำดอกบัว



     เหล่าข้าคณาระบำ ร้องรำกันด้วยเริงร่า

     ฟ้อนส่ายให้พิศโสภา เป็นทีท่าเยื้องยาตรนาดกราย

     ด้วยจิตจงรักภักดี มิมีจะเหนื่อยแหนงหน่าย

     ขอมอบชีวิตและกาย ไว้ใต้เบื้องพระบาทยุคล

     เพื่อทรงเกษมสราญ และชื่นบานพระกมล

     ถวายฝ่ายฟ้อนอุบล ล้วนวิจิตรพิศอำไพ

     อันปทุมยอดผกา ทัศนาก็วิไล

     งามตระการบานหทัย หอมจรุงฟุ้งขจร

     คล้ายจะยวนเย้าภมร บินวะว่อนฟอนสุคันธ์


อ้างอิง
https://sites.google.com/site/rabumdokbua20188/raba-dxkbaw
https://sites.google.com/site/rabumdokbua20188/raba-dxkbaw/kar-taeng-kay-raba-dxkbaw
https://sites.google.com/site/rabumdokbua20188/raba-dxkbaw/kheruxng-dntri
https://sites.google.com/site/rabumdokbua20188/raba-dxkbaw/neux-phelng-raba-dxkbaw
https://www.youtube.com/watch?v=CH8lLfomfDw

วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

เทคโนโลยีการเกษตร โดรนเพื่อการเกษตรในการฉีดพ่น


โดรนเพื่อการเกษตรในการฉีดพ่น



     โดรน (DRONE) เป็นเครื่องมือที่จัดอยู่ในประเภทอากาศยานไร้คนขับ หรือ Unmanned Aerial Vehicle (UAV) แรกเริ่มนั้นมีการใช้งานทางด้านการทหารเพื่อสอดแนมข้าศึกหรือแม้กระทั่งติดอาวุธเพื่อทำลายศัตรูจากระยะไกล โดยไม่ต้องเสี่ยงนำคนเข้าไปในพื้นที่อันตราย ซึ่งต่อมาถูกพัฒนามาเรื่อยๆ จนมีการนำมาใช้ในหลายรูปแบบ เช่น การนำโดรนมาติดกล้องเพื่อสามารถถ่ายภาพมุมสูง ตรวจสภาพจราจร เก็บข้อมูลภูมิศาสตร์ และเมื่อเร็วๆ นี้มีการทดลองใช้ โดรนในการส่งสินค้า เป็นต้น ด้วยข้อดีหลายๆ ประการของโดรนจึงได้มีการพัฒนามาใช้ทางด้านการเกษตรด้วย โดยสามารถใช้โดรนปฏิบัติการพ่นสารเคมี ปุ๋ย ฮอร์โมนพืช ที่ใช้ได้ทั้งกับการทำเกษตรแบบทั่วไปหรือเกษตรอินทรีย์ เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในหลายๆ ประเทศ เช่น จีน อเมริกา ญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งข้อดีที่สำคัญในการใช้โดรนทางการเกษตรทั่วไปคือ เกษตรกรปลอดภัย ไม่ต้องสัมผัสกับสารเคมี ไม่ต้องเดินเข้าสัมผัสแปลงปลูกพืช




(โดรนเพื่อการเกษตรในการฉีดพ่น รุ่น MG1)



     สำหรับประเทศไทยพบว่า การนำโดรนเพื่อการเกษตรมาใช้นั้นยังไม่แพร่หลายนัก มีเพียงไม่กี่บริษัท
ให้บริการจำหน่ายหรือประกอบโดรนเพื่อการเกษตร โดยยกตัวอย่างของ บริษัท เอส. เอ. ที. ไอ. แพลตฟอร์ม จำกัด ซึ่งมีการจำหน่ายและให้บริการทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกี่ยวกับด้านการเกษตร รวมถึงโดรนเพื่อการเกษตร สำหรับฉีดพ่น และ สำรวจสภาพผลผลิต เป็นต้น บริษัทนี้เริ่มมาจากเกษตรกรคือ คุณปรกชล พรมกังวาน และ  คุณกันตพงษ์ แก้วกมล(ประธานเครือข่าย Young Smart Farmer ประเทศไทย ปี 2559) ได้ร่วมกับผู้บริหารของบริษัทที่มีความรู้ความชำนาญทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตรต่างๆ
โดยคุณปรกชล เล่าให้ฟังว่า ตนเองเริ่มต้นทำการประกอบโดรนเพื่อใช้ในการเกษตรมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2558

เพื่อช่วยฉีดพ่นในสวนลำไย โดยเหตุผลที่เลือกใช้โดรนมาทำการเกษตร เนื่องจากผลิตลำไยอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในระดับสากล ต้องใช้สารชีวภัณฑ์ในการป้องกันโรคและแมลง การดูแลต้นลำไยอินทรีย์กว่า

50 ไร่ และการที่ต้นลำไยค่อนข้างเป็นทรงพุ่มสูง ทำให้การฉีดพ่นไม่ค่อยทั่วถึง ดังนั้นจึงได้ค้นหาวิธีการที่จะใช้เครื่องอำนวยความสะดวกเพื่อมาฉีดพ่นสารดังกล่าว ซึ่งก็ได้สืบค้นและหาความรู้จากทางอินเตอร์เน็ต และทำให้ได้ข้อสรุปว่าต้องเป็นอุปกรณ์ประเภทเครื่องบินเพื่อการเกษตร แต่ก็พบว่าเครื่องบินเพื่อการเกษตรนั้นมีขนาดใหญ่ และราคาสูง จากการสืบค้นพบว่าที่ประเทศญี่ปุ่นใช้เฮลิคอปเตอร์เพื่อการเกษตรกันมาก แต่ก็มีราคาค่อนข้างสูง นอกจากนั้นยังพบว่ามีข่าวอุบัติเหตุที่เฮลิคอปเตอร์ใบพัดหลุดและทำให้คนเสียชีวิต จึงค่อนข้างอันตรายต่อผู้ใช้ จนสุดท้ายพบว่าในต่างประเทศ เช่นในประเทศจีนมีการใช้เครื่องโดรนขนาดใหญ่ใช้ทางการเกษตรได้ และสามารถที่จะบังคับได้โดยผู้บังคับไม่ต้องขึ้นไปอยู่

บนเครื่อง จึงได้ตัดสินใจลองใช้โดรนเพื่อ ใช้ในสวนลำไยของตนเอง ทั้งนี้เคยประกอบโดรนเองมาแล้ว 5 ลำ โดยการศึกษาจากการแกะรื้อชิ้นส่วน แล้วทำการสั่งซื้อชิ้นส่วนมาประกอบ โดยสั่งจากประเทศจีน ลำแรกยังไม่มีประสิทธิภาพที่ ดีพอ จนกลางปี 2559 เริ่มที่จะประกอบ ได้ดีและสามารถนำมาใช้งานได้ดีพอสมควร แต่การบังคับโดรนประกอบนั้น ผู้บังคับต้องมีความรู้มีทักษะความเชี่ยวชาญในการบังคับโดรนประกอบอย่างมาก ขณะที่ราคาโดรนประกอบจะอยู่ที่ ตั้งแต่ 1 แสน – 3 แสนบาท (โดรนที่ปรกชลเคยประกอบเองอยู่ที่แสนกว่าบาท) ซึ่งราคาขึ้นอยู่กับแบตเตอรี่ ที่เคยทำเองมี 


ตั้งแต่ 3 และ 5 ลิตร เมื่อทำการทดลองใช้งานโดรนในสวนลำไยได้ผล จึงเริ่มเผยแพร่ให้เกษตรกรคนอื่นๆ ได้รู้จักการใช้โดรน ซึ่งมีข้อดีในการทำการเกษตรมากมาย
สำหรับการรวมทีมกับผู้เชี่ยวชาญและเกษตรกรในเครือข่ายก่อตั้งบริษัทเพื่อจำหน่ายโดรน เพราะเห็นแล้วว่า โดรนที่ประกอบมาจะสามารถประหยัดแบตเตอรี่ได้มากกว่า (หลังจากที่ลองประกอบโดรนใช้เองมาหลายเครื่อง สุดท้ายตัดสินใจเลือกใช้โดรนที่ประกอบได้มาตรฐาน) เพราะมีการรับรองมาตรฐานและ รับประกันคุณภาพ ซึ่งที่เลือกใช้คือ รุ่น MG1 ของบริษัท DJI ประเทศจีน เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงทางด้านโดรนถ่ายภาพอยู่แล้ว และก็มีโดรนเพื่อการ เกษตรรุ่นนี้ด้วย ซึ่งเป็นโดรนขนาด 10 ลิตร จึงประหยัดแบตเตอรี่ โดยแบตเตอรี่  1 ก้อนสามารถใช้ในการฉีดพ่นสารอารักขา พืชได้ 20  ลิตร ในระยะเวลาประมาณ 15-20 นาที โดยระยะเวลาการทำงานขึ้น อยู่กับจำนวนแบตเตอรี่สำรอง แบตเตอรี่สำรอง 6  ก้อน สามารถทำงานได้ขั้นต่ำประมาณ 50 ไร่ต่อวัน หรือถ้ามีแบตเตอรี่น้อย ก็สามารถพักชาร์จแบตเตอรี่ได้ โดยใช้เวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ประมาณ 45 นาที  แต่ถ้ามีแบตเตอรี่สำรองถึง 10 ก้อน จะสามารถทำงานต่อเนื่องได้ทั้งวันอย่างน้อย 100 ไร่

ซึ่งจากความสามารถดังกล่าว พบว่าหากค่าจ้างฉีดพ่นในแปลงเกษตรต่อไร่ประมาณ 100 บาท ดังนั้นถ้าเป็นผู้รับจ้างฉีดพ่นสารอยู่แล้วใช้โดรนเข้าไปแทนในตรงนี้ได้ อย่างต่ำสามารถสร้างรายได้ 5 พันบาท – 1 หมื่นต่อวัน ซึ่งการคืนทุนจะเร็วมากและคุ้มค่าประหยัดเวลาการทำงาน ประหยัดแรงงาน และมีความปลอดภัยต่อผู้ฉีดมากกว่าการฉีดพ่นสารแบบดั้งเดิมหรือการใช้คนเดินฉีด เพราะการทำงาน ผู้ที่ทำการบังคับการบินของ โดรนจะอยู่ด้านนอกแปลง จึงไม่สัมผัสกับสารที่ฉีดพ่น อีกทั้งความสามารถของโดรนซึ่งเป็นข้อดีมากๆ คือให้ละอองที่ละเอียดมาก เข้าถึงใบพืชอย่างทั่วถึง สามารถกำจัดแมลงศัตรูพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ใช้สารเคมีน้อยลงได้ถึง 50% ซึ่งในข้อนี้ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรมีความปลอดภัยจากสารเคมีมากกว่าการฉีดพ่นสารเคมีทางการเกษตรแบบดั้งเดิม โดยสามารถใช้กับพืชได้หลากหลาย ซึ่งจากประสบการณ์ในการให้บริการฉีดพ่นสารอารักขาพืชด้วยโดรนนั้น ได้แก่ ลำไย อ้อย ข้าวโพด ข้าว มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน กล้วย กุหลาบ ปอเทือง เป็นต้น”




     คุณปรกชลยังบอกด้วยว่า ประโยชน์ที่ได้จากการใช้โดรนเพื่อการเกษตร เช่น ประหยัดน้ำได้กว่า 90% ช่วยลดเวลาการทำงานได้มากถึง 80% และลดต้นทุนค่าปัจจัยการผลิตลงกว่า 30-50% แถมเพิ่มผลผลิตได้ 10-35% พร้อมช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ซึ่งสำหรับ โดรนทางการเกษตรของบริษัท DJI จะมีระบบอัจฉริยะช่วยในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ 1.ช่วยนำเส้นทางการบินฉีดพ่น อัตโนมัติ 2.จดจำตำแหน่งสุดท้ายของการหยุดพักหรือน้ำหมดถัง สามารถกลับไปเริ่มต้น ณ จุดเดิมได้  3. ปรับระดับความสูง-ต่ำระหว่างการบินอัตโนมัติ ในกรณีที่มีพื้นที่ลาดชันหรือต่ำลง
ดังนั้นนวัตกรรมโดรนเพื่อการ เกษตรจึงน่าจะเป็นอีกทางเลือกใหม่สำหรับเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ ทำให้เพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน ลดการใช้สารเคมี ช่วยให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตรในยุค 4.0 ได้อย่างปลอดภัยทั้งกับตัวเองและผู้บริโภคด้วย





อ้างอิง