วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

เพลงช้า-เพลงเร็ว


เพลงช้า-เพลงเร็ว



    ประวัติเพลงช้า-เพลงเร็ว
     คำว่า “รำเพลงช้า-เพลงเร็ว” บางครั้งก็เรียกสั้น ๆ “รำเพลง” ซึ่งหมายถึงรำเพลงช้า-เพลงเร็วนั้นเอง เนื่องจากเรียกตามชื่อเพลงในทางปี่พาทย์ สมเด็จพระเจ้าบรมเธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวถึงท่ารำ “เพลงรำ” ไว้ในตำนานละครอิเหนาว่า
     “การฟ้อนรำเป็นหลักของวิชาละคร(รำ) เพราะฉะนั้นผู้เป็นครูบาอาจารย์แต่ก่อนจึงคิดแบบรำเป็นท่าต่าง ๆ ตั้งชื่อบัญญัติไว้ให้เรียกเป็นตำรา แล้วคิดร้อยกรองท่ารำต่าง ๆ นั้นเข้าเป็นกระบวนสำหรับท่ารำ เข้ากับเพลงปี่พาทย์เรียกว่า “เพลงรำ”  อย่างหนึ่ง อีกอย่างเข้ากับบทร้องเรียกว่า “รำใช้บท” บรรดาผู้ที่ฝึกหัดเป็นละคร ฝึกหัดตั้งแต่ยังเด็ก ครูให้หัดรำเพลงก่อนแล้วจึงรำใช้บท เมื่อรำได้แล้วครูจึง “ครอบ” ให้  คืออนุญาตให้เล่นละคร แต่นั้นไปจึงนับว่าเป็นละคร
     แม่ท่าเพลงช้า-เพลงเร็ว มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และได้จดจำสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ เพลงช้า-เพลงเร็ว เป็นเพลงประเภทหน้าพาทย์ จัดอยู่ในประเภทเพลงหน้าพาทย์อัญเชิญครูโขน ละคร พระ นาง มาร่วมในพิธีให้ลูกศิษย์ได้คารวะในวันไหว้ครู เมื่อนำมาใช้สำหรับหลักสูตรบทเรียนนาฏศิลป์ จัดอยู่ในประเภทเพลงฝึกหัดการรำนาฏศิลป์เบื้องต้น โดยเฉพาะผู้ฝึกหัดได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวพระ-นาง ต้องผ่านการฝึกหัดเบื้องต้นการรำเพลงช้า-เพลงเร็วก่อน ถ้าต้องการฝึกเพื่อเป็นศิลปินหรือครูผู้สอนนาฏศิลป์ ซึ่งทำหน้าที่ผลิตศิลปิน จำเป็นต้องฝึกในรูปแบบเพลงช้า-เพลงเร็วอย่างเต็ม ท่ารำในเพลงช้า-เพลงเร็ว เป็นการนำเอาแม่ท่ามาเรียงลำดับโดยมีลีลาเชื่อมท่ารำต่อเนื่องกันไป ถือว่าเป็นเพลงบูชาครู ดังนั้น ก่อนที่เรียนรำเพลงอื่นๆ ผู้เรียนควรจะต้องรำเพลงช้าเพลงเร็วก่อนทุกครั้ง ผู้เรียนรำจะต้องฝึกหัดรำเพลงบูชาครูให้คล่องแคล่วแม่นยำ เพื่อเป็นพื้นฐานในการเรียนเพลงอื่นๆ ต่อไป
เพลงช้าเพลงเร็วเป็นเพลงหน้าพาทย์ ที่ใช้เป็นหลักสูตรเบื้องต้นสำหรับนักเรียนศิลปินฝึกหัด นาฏศิลป์ไทย มีท่ารำที่ครูอาจารย์ตามนาฏศิลป์ของไทย บัญญัติขึ้นไว้เป็นแบบฉบับมาแต่โบราณ ท่ารำประจำเพลงช้า – เร็ว เหล่านี้ อย่างน้อยก็มีสืบทอดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กุลบุตร กุลธิดา ที่จะฝึกหัดนาฏศิลป์ไทย จะต้องหัดรำทำท่าตามเพลงช้า เพลงเร็วให้คล่องแคล่วแม่นยำเสียก่อน ซึ่งต้องใช้เวลาฝึกหัดกันแรมปี ท่ารำในเพลงช้าเพลงเร็ว ย่อมเสมอเป็นแม่ท่าหรือพื้นฐานภาษาของละครไทยทั่วไปมักนิยมกันว่าศิลปินที่ฝึกหัดท่ารำเพลงช้าเพลงเร็วมาดีแล้ว ย่อมเป็นผู้มีกิริยามารยาทแช่มช้อยงดงามในสังคมไทยอีกด้วย ท่ารำในแม่บทก็ดี ท่าที่ครูอาจารย์ทางนาฏศิลป์เลือดคัดจัดทำให้รำ “ทำบท” ตามคำร้อง หรือทำท่าบทให้ตามท้องเรื่องของละครไทยก็ดีโดยมากก็เลือกคัดจัดท่ามาจาก ท่าที่ เป็นแบบฉบับในการรำ เพลงช้า เพลงเร็วเป็นหลักแม้บางคราวจะปรากฏว่าเคยมีผู้นำเอาแบบนาฏศิลป์ต่างชาติมาใช้ ในวงการนาฏศิลป์ไทยหลายอย่าง แต่ก็มักจะนำมาผสมกับท่ารำที่มีอยู่ในเพลงช้าเพลงเร็วเป็นส่วนมากเหมือนผู้เรียนรู้ภาษามาจากต่างประเทศ ซึ่งมักปรากฏว่าการแต่งตัวและการพูดจะติดสำนวนและภาษาเดิมของตน ด้วยเหตุนี้จึงมีความจริงอยู่ว่า ถ้านักเรียนศิลปินคนใด ฝึกหัดรำเพลงช้าเพลงเร็วได้ดีและสวยงามเป็นพื้นฐานมาแล้ว ก็ย่อมหมายความว่านักเรียนคนนั้นก็จะได้เป็นศิลปินทางการละครฟ้อนรำของไทยได้ดีในภายหน้าด้วย เพราะการรำเพลงช้าเพลงเร็วนี้ จัดได้ว่าเป็นพื้นฐานเบื้องต้นของการเรียนนาฏศิลป์ที่ถูกต้อง
     ต่อมาในรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้เกิดละครเอกชนหลายสำนัก การฝึกหัดรำแม่ท่าก็ได้แพร่หลายออกไปจากละครหลวง ทำให้ท่ารำแม่ท่าเพลงช้า-เพลงเร็ว แตกต่างกันไปบ้างในรูปแบบลีลาท่ารำตามความสามารถของผู้รับการฝึกหัด สำหรับท่ารำแม่ท่าเพลงช้า-เพลงเร็ว ที่ใช้ในหลักสูตรวิทยาลัยนาฏศิลปะนี้ ท่ารำของตัวพระเป็นแม่ท่าที่ได้รับถ่ายทอดมาจากพระยานัฏกานุรักษ์ ปรมาจารย์ของกรมมหรสพในรัชกาลที่ 6 โดยอาจารย์ลมุล ยมะคุปต์ เป็นผู้นำมาฝึกหัดนักเรียน ส่วนท่ารำของตัวนาง หม่อมต่วน (ศุภลักษณ์) ภัทรนาวิก ผู้ซึ่งเป็นนางตัวเอกของละครคณะวังบ้านหม้อ หรือละครคณะเจ้าพระยาเทเวศร์ วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว.หลาน  กุญชร) เป็นผู้นำมาฝึกถ่ายทอดให้แก่นักเรียน ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งโรงเรียนศิลปากร แผนกนาฏดุริยางค์ เมื่อปี พ.ศ.2477
     รำเพลงช้า - เพลงเร็ว หมายถึง การฝึกหัดรำเบื้องต้นในท่ารำแบบแผนของนาฏศิลป์ไทย ผ่านการปรับปรุงพัฒนาจนถือว่าเป็นท่ารำมาตรฐานที่ถูกต้องสวยงาม สามารถนำไปเป็นแบบอย่างแก่ท่ารำชุดต่างๆ เช่น ท่ารำของโขน ละคร ระบำ เป็นต้น เชื่อว่า การรำเพลงช้า-เพลงเร็ว น่าจะมีการฝึกหัดมาพร้อมกับการฝึกหัดนาฏศิลป์ในวัง เพราะการรำเพลงช้า-เพลงเร็ว เป็นการฝึกหัด อย่างมีระเบียบแบบแผนเช่นเดียวกับการฝึกหัดอื่นๆ ในราชสำนัก
     รำเพลงช้า - เพลงเร็ว เป็นเพลงสำหรับฝึกหัดท่ารำเบื้องต้นของตัวพระ ตัวนาง มีวงปี่พาทย์บรรเลงประกอบ ไม่มีบทร้อง ในการฝึกหัดขั้นแรก ผู้รำจะร้องปากเปล่าเลียนเสียงหน้าทับของเพลง คือ ร้องเพลงช้าว่า จะ โจ๊ง จะ ทิง โจ๊ง ทิง และร้องเพลงเร็วว่า ตุ๊บ ทิง ทิง เมื่อผู้ฝึกหัดคล่องดีแล้ว จึงจะให้รำเข้าวงปี่พาทย์โดยใช้ทำนองเพลงสร้อยสนในการบรรเลงเพลงช้าและใช้เพลงเร็ว (ตามชื่อเพลง) ในการบรรเลงเพลงเร็ว จบด้วยเพลงลา
     ในการรำเพลงช้า – เพลงเร็ว มีลำดับขั้นตอนตั้งแต่ท่าแรกถึงท่าสุดท้ายอย่างเป็นระบบ กล่าวคือ มีการเชื่อมท่ารำหนึ่งไปสู่อีกท่ารำหนึ่งอย่างสอดคล้องกลมกลืน แต่ขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยจารีตหรือวัฒนธรรมไทยลงไปในท่ารำด้วย เช่น ท่าแรกจะต้องเริ่มด้วยการไหว้ เพื่อรำลึกถึงครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ จากนั้นจึงจะออกท่ารำ จากท่าง่ายๆ ไปหาท่ายากๆ ที่มีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น


     เพลงช้า-เพลงเร็ว เป็นเพลงประเภทหน้าพาทย์ จัดอยู่ในหน้าพาทย์ไหว้ครูประเภทเพลงหน้าพาทย์อัญเชิญครูโขน ละคร พระ-นาง มาร่วมพิธีให้ลูกศิษย์ได้คารวะในวันไหว้ครู
     ปัจจุบันนี้ การเรียนการสอนเปลี่ยนไปตามกาลเวลาของการตั้งโรงเรียนนาฏศิลปะมาร่วม 80 ปีแล้ว สมัยที่ผ่านมาครูผู้สอนเป็นแม่แบบให้ศิษย์เลียนแบบ ปัจจุบันนอกจากครูผู้สอนเป็นแม่แบบแล้ว ยังต้องสามารถวิเคราะห์ท่ารำพร้อมทั้งชี้แนะให้นักเรียนเกิดความเข้าใจให้มากกว่าการจำจากแบบ ครูผู้สอนหรือผู้ฝึกหัดจะต้องฝึกหัดเพลงช้า-เพลงเร็ว ให้เกิดความซาบซึ้งในท่ารำ สามารถวิเคราะห์แยกท่า แยกความสำคัญของอวัยวะส่วนต่าง ๆ ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร  แต่การฝึกปัจจุบัน ผู้ฝึกถูกฝึกให้
เห็นความสำคัญกับเพลงช้า-เพลงเร็ว น้อยไปตามความรวดเร็วของยุค เพราะยุคนี้เป็นยุคโลกาภิวัตน์  ความประณีตงดงามไม่สำคัญเท่ากับความรวดเร็ว เป็นเหตุให้การเรียนการสอนบางแห่งมักจะฝึกหัดข้ามไปเรียนระบำเป็นชุด ๆ หรือไม่ก็ตัดทอนท่าให้เหลือน้อยลง เกือบจะเรียกว่ารำเพลงช้า-เพลงเร็วเป็นพิธี ตัดทอนท่าที่ให้ความสัมพันธ์ของการใช้อวัยวะหรือลีลาเชื่อมขาดทักษะสัมพันธ์กัน เป็นเหตุให้ผู้เรียนขาดความเข้าใจ ความซาบซึ้ง และความจำอันแน่นแฟ้นที่จะตามมา


ดนตรี-เพลงร้อง
     เพลงช้าเป็นชื่อเพลงหน้าพาทย์ ที่บรรเลงประกอบกิริยาอย่างนวยนาฏงดงามของละคร ส่วนเพลงเร็วประกอบกิริยาไปมาอย่างว่องไว โดยปกติเมื่อบรรเลงเพลงช้าแล้วต้องบรรเลงเพลงเร็วติดต่อกันไป แล้วบรรเลงเพลงลาในตอนจบ การบรรเลงเพลงช้าและเพลงเร็วปี่พาทย์จะเลือกการบรรเลงได้ตามพอใจเพราะมีเพลงประกอบประเภทเพลงช้าและเพลงเร็วอยู่มากมาย และเรียกชื่อไว้ต่าง ๆ กัน แต่ละเพลงอาจบรรเลงได้นาน ๆ เพลงจะมีลีลาของเพลงยาวโดยปกติและส่วนมากแล้ว เราจะใช้เพลงที่ใช้บรรเลงในการเริ่มฝึกเพลงช้า ประโยคของเพลงฟังง่ายกว่าเพลงช้าอื่น ๆ

-วงปี่พาทย์ไม้แข็ง


     วงปี่พาทย์ไม้แข็งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  “วงปี่พาทย์เครื่องหนัก”  วงปี่พาทย์จัดเป็นวง
ดนตรีที่ได้รับความนิยมแพร่หลายสูงสุดในกลุ่มวงปี่พาทย์ และเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าเป็นวงดนตรีที่มีความเป็นมาตรฐานที่สูงสุดอีกด้วย เครื่องดนตรีที่สังกัดในวงดนตรีประเภทนี้ทุกเครื่องจะมีเสียงดัง เนื่องจากบรรเลงด้วยไม้ตีชนิดแข็ง จึงเรียกชื่อวงดนตรีชนิดนี้ว่า ปี่พาทย์ไม้แข็ง ตามลักษณะของไม้ที่ใช้บรรเลง
     บรรเลง อรรถรสที่ได้จากการฟังดนตรีชนิดนี้จึงมีทั้งความหนักแน่น สง่าผ่าเผย คล่องแคล่ว และสนุกครึกครื้น  จึงสามารถบรรเลงได้ในโอกาสทั่วๆไป  เช่น  งานพระราชพิธี  งานบวชนาค  งานโกนจุก  เทศน์มหาชาติ  ประกอบการแสดง  โขน  ละคร  ลิเก  หนังใหญ่  เป็นต้น 

วงปี่พาทย์ไม้แข็งสามารถแบ่งตามขนาดของวง   ได้เป็น 3 ขนาด คือ
-วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องคู่  
     วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องคู่ พัฒนามาจากวงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องห้าโดยการจัดเครื่องดนตรีให้เป็นคู่กัน  จึงเรียกว่าวงปี่พาทย์เครื่องคู่ วงปี่พาทย์ชนิดนี้เกิดขึ้นในสมัยแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยมีการประดิษฐ์ระนาดทุ้มและฆ้องวงเล็กขึ้นเพื่อให้คู่กับระนาดเอก  
-วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องใหญ่   
     วงดนตรีประเภทนี้เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โดยเครื่องดนตรีประกอบด้วยเครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ไม้แข็งเครื่องคู่เป็นหลัก แต่มีการเพิ่มระนาดเอกเหล็กและระนาดทุ้มเหล็กขึ้นอีกอย่างละราง นับเป็นวงปี่พาทย์ไม้แข็งที่มีวิวัฒนาการสูงสุดในปัจจุบัน        
     วงปี่พาทย์ไม้แข็งนั้น ซึ่งปกติจะบรรเลงด้วยไม้ระนาดเอกที่ทำจากยางรัก มีความแข็ง เวลาตีแล้วจะทำให้เสียงดังมาก เพื่อสู้กับเสียงปี่ในที่มีความดังอยู่แล้ว ในบางครั้งที่ไม่ต้องการเสียงดังมาก อาจจะบรรเลงด้วยไม้นวมหรือการใช้ขลุ่ยเพียงออ มาแทนปี่ใน ทำให้เสียง          ปี่พาทย์มีความนุ่มนวลไพเราะ เรียกวงปี่พาทย์ชนิดนี้ว่า "วงปี่พาทย์ไม้นวม"
     วงปี่พาทย์ไม้นวม การจัดรูปแบบวงดนตรีนั้น ก็เหมือนกับวงปี่พาทย์ไม้แข็ง เพียงแต่นำขลุ่ย มาบรรเลงแทนปี่ใน และระนาดเอกบรรเลงด้วยไม้นวมแทนไม้แข็ง เพื่อซออู้เข้ามาอีก 1 คัน เพื่อเพิ่มความนุ่มนวลของเสียงโดยรวมที่ออกมา ในเครื่องกำกับหน้าทับ ถ้าบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ หรือประกอบการแสดง อาจจะใช้ตะโพน และกลองทัด อย่างเดิมก็ได้ หรืออาจจะบรรเลงเพลงเสภา เพลงเถา เพลงธรรมดา อาจจะเปลี่ยนไปใช้กลองแขก ก็ได้อย่างใดอย่างหนึ่ง เรื่องของการเปลี่ยนเครื่องกำกับหน้าทับนี้ ใช้เหมือนกันทั้งปี่พาทย์ไม้แข็ง และปี่พาทย์ไม้นวม เพราะปี่พาทย์ไม้แข็ง ก็อาจจะเปลี่ยนจากตะโพน และกลองทัด ไปเป็นกลองแขกก็ได้ ในกรณีที่บรรเลงเพลงธรรมดา
ด้วยความนุ่มนวลและไพเราะน่าฟัง จึงนิยมใช้วงปี่พาทย์ไม้นวมบรรเลงประกอบ  เพลงช้า-เพลงเร็วมากกว่า

-เครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ไม้นวม

            1. ขลุ่ยเพียงออ
            2. ระนาดเอก
            3. ระนาด ทุ้ม
            4. ฆ้องวงใหญ่
            5. ฆ้องวงเล็ก
            6. ตะโพน
            7. กลองทัด
            8. ฉิ่ง


อ้างอิง
http://ich.culture.go.th/index.php/th/ich/performing-arts/236-performance/71--m-s
https://www.gotoknow.org/posts/486849

q=%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%94&rlz=1C1CHBF_enTH850TH850&hl=th&sxsrf=ALeKk01xoK3aOFP3fyy9Dga9_fmPKNuzNA:1582792588103&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ved=2ahUKEwi67t3vqfHnAhVoH7cAHQaWDj0Q_AUoAnoECBAQBA&biw=2133&bih=1076#imgrc=PD_RA_PNy83UPM

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น